เรามาเริ่มต้นกันด้วย วิธีการส่งเสริม ระบบการเผาผลาญพลังงาน ในร่างกายของคุณกันครับ เพราะหากระบบเผาผลาญพลังงงานของคุณ ทำงานได้ดีมากๆ มันก็จะเอาไขมันส่วนเกิน ที่มีอยู่มากมายบนหน้าท้องของคุณ ออกมาเปลี่ยนเป็นพลังงานซะ มาเริ่มกันเลยครับ กับไม่กี่ขั้นตอนง่ายๆ
1. ทานอาหารเช้าเสมอ ห้ามงด ฟังดูเหมือนว่ามัน เป็นเรื่องที่สวนทางกันมากเลยนะครับ ในขณะที่กำลังศึกษาขั้นตอน การลดน้ำหนัก เอาไขมันหน้าท้องออก แต่ดันมาแนะนำให้ทานอาหารเช้าสม่ำเสมอ มันยังไงกัน? จากการศึกษาของนักวิชาการในต่างประเทศ (เชื่อถือได้แน่นอน มั่นใจได้) ระบุว่า การรับประทานอาหารเช้า ภายในเวลา 1 ชั่วโมง หลังจากตื่นนอน จะช่วยทำให้ อินซูลิน ในเลือดของคุณ ทำงานได้คงที่มากกว่าปกติ และช่วยควบคุม LDL Cholesterol หรือไขมันที่ไม่ดี ให้อยู่ในระดับต่ำมากๆ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรงด หรือไม่เห็นความสำคัญของอาหารเช้า
- ควรทานอาหารเช้า ให้ตรงเวลาในทุกๆ วัน และอย่าลืมว่า ควรจะทานภายในเวลา 1 ชั่วโมง หลังจากตื่นนอน คือตื่นมาก็หาอะไร ทานเลยว่างั้น อย่าทิ้งเอาไว้นานถึง 2-3 ชั่วโมง แล้วค่อยทานอาหาร ซึ่งมันจะไม่ดีต่อระบบการย่อยอาหารของคุณอย่างแน่นอนครับ ส่วนในวันหยุด หากคุณต้องการตื่นสาย ก็ให้ทานอาหารทันที ใน 1 ชั่วโมงหลังจากที่คุณตื่นก็ได้ครับ ไม่มีปัญหา
- ควรเน้นทานอาหารที่ให้ โปรตีน และอาหารที่มี ไฟเบอร์สูง (ไข่ , เนยถั่ว , ผักและผลไม้สด) สำหรับมื้อเช้า เนื่องจากอาหารจำพวกโปรตีน และไฟเบอร์นั้น จะใช้ระยะเวลาในการย่อย ยาวนานกว่าอาหารพวกที่เป็นน้ำตาล หรือแป้ง ซึ่งจะช่วยทำให้คุณรู้สึกอิ่มยาวนาน ไปจนถึงมื้อกลางวันได้สบายๆ
- หลีกเลี่ยงการทานอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาล เช่น ซีเรียลต่างๆ , วัฟเฟิล , แพนเค้ก หรือขนมปัง เพราะอาหารจำพวกแป้งนี้ ย่อยง่ายและจะทำให้คุณอ้วน ควรเน้นไปที่อาหารพวกโปรตีน และไฟเบอร์ กากใยสูง จะดีกว่ากันเยอะ
2. ลดความเครียดลง จากการวิจัย พบว่า การหลั่ง ฮอร์โมน cortisol ( ฮอร์โมนความเครียด เป็นฮอร์โมนที่จะหลั่งออกมาเมื่อคุณเครียด) มีความเกี่ยวข้องกับ การเพิ่มขึ้นของไขมันหน้าท้อง ยิ่งหลั่งมาก ก็ยิ่งมีไขมันสะสมที่หน้าท้องมาก วิธีการที่จะแก้ไขปัญหา ไม่ให้มีการหลั่ง ฮอร์โมนความเครียด ออกมานั้น ทำได้ดังนี้
- นอนหลับให้พอ อันนี้สำคัญนะครับ การนอนหลับ พักผ่อนอย่างเพียงพอ จะช่วยลดความเครียดลงได้ โดยในวัยทำงาน ควรนอนหลับอย่างน้อย 7 ชั่วโมง ถึงจะดีครับ
2. ลดความเครียดลง จากการวิจัย พบว่า การหลั่ง ฮอร์โมน cortisol ( ฮอร์โมนความเครียด เป็นฮอร์โมนที่จะหลั่งออกมาเมื่อคุณเครียด) มีความเกี่ยวข้องกับ การเพิ่มขึ้นของไขมันหน้าท้อง ยิ่งหลั่งมาก ก็ยิ่งมีไขมันสะสมที่หน้าท้องมาก วิธีการที่จะแก้ไขปัญหา ไม่ให้มีการหลั่ง ฮอร์โมนความเครียด ออกมานั้น ทำได้ดังนี้
- นอนหลับให้พอ อันนี้สำคัญนะครับ การนอนหลับ พักผ่อนอย่างเพียงพอ จะช่วยลดความเครียดลงได้ โดยในวัยทำงาน ควรนอนหลับอย่างน้อย 7 ชั่วโมง ถึงจะดีครับ
- หาเวลาผ่อนคลายความเครียด แม้จะน้อยนิด เพียงแค่ 15 นาที ที่เหลือจากเวลาพักกลางวันก็ตาม ใช้เวลาผ่อนคลายตัวเอง ด้วยการหลับตา สูดหายใจให้ลึกๆ แล้วลืมเรื่องที่ทำให้คุณเครียดทิ้งไป แม้เพียง 15 นาที ก็ถือว่ามีประโยชน์ ช่วยให้คุณผ่อนคลาย และร่างกายของคุณก็จะคลายจากความเครียดด้วยเช่นกัน
- เอาสิ่งที่จะทำให้คุณเครียด ออกไปให้พ้นจากห้องนอนของคุณ หากอยู่ในห้องเดียวกัน ก็ย้ายออกไปให้ไกลๆ หรือเอาไปเก็บซะ เพราะในห้องนอนของคุณ ควรจะเป็นพื้นที่สำหรับการผ่อนคลาย พยามอย่าทำงานในห้องนอนของคุณ อันนี้เป็นเรื่องของจิตวิทยาที่สำคัญมาก เมื่อคุณก้าวผ่านประตูห้องนอนเข้ามา คุณควรจะรู้สึกว่า อยากนอน และผ่อนคลาย นั่นแหละครับ คือห้องนอน ไม่ใช่ว่า ก้าวเข้ามาแล้วเห็นงานกองอยู่บนโต๊ะ ใกล้ๆ หัวนอน เมื่อมองไปที่กองนั้น แล้วก็ต้องถอนหายใจ ห้องนอนของคุณ ควรถูกสงวนเอาไว้ เป็นพื้นที่ “ห้ามเข้า” สำหรับงาน และสิ่งที่จะทำให้คุณเครียด
3. ตั้งใจเดินให้ได้ 10,000 ก้าวต่อวัน หนึ่งในผลการศึกษา พบว่า มนุษย์เรา ลดการจำนวนก้าว ในการเดินแต่ละวันลง จากเฉลี่ยตั้งแต่ 10,000 ก้าวขึ้นไป ต่อวัน ลงมาเหลือเพียง 1,500 ก้าวต่อวัน ในขณะที่พฤติกรรม และปริมาณการทานอาหาร ไม่ได้ลดลงเลย แถมยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกต่างหาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือพวกคนวัยทำงาน ที่นั่งทำงานในออฟฟิศ วันนึงเดินแค่ไม่ถึง 1,000 ก้าวด้วยซ้ำไป ตื่นนอน ขับรถไปทำงาน เดินแค่ในออฟฟิศ เดินออกมากินข้าวกลางวัน นั่งทำงานต่อ เย็นขับรถกลับบ้าน เห็นมั้ยครับว่า เดินแค่ไม่กี่ร้อยก้าวเท่านั้นเอง ซึ่งจะส่งผลให้ มีการสะสมของไขมันหน้าท้อง ของคนวัยทำงาน เพิ่มขึ้นถึง 7 % หลังจากผ่านไปเพียง 2 อาทิตย์ สำหรับวิธีการแก้ไข มีดังนี้
- หาซื้อ Pedometer หรือตัววัดจำนวนก้าว ขณะเดินมาติดตัวไว้ เพื่อช่วยนับจำนวนก้าวให้เรา
- ใช้การเดินขึ้นบันได แทนการใช้ลิฟท์ ไปไหนมาไหนใกล้ๆ ก็ใช้การเดิน แทนการขับรถ
- ยืน และเดิน 30 ก้าว ทุกๆ 30 นาที ถ้าทำได้ แต่ถ้าหากคุณทำงานนั่งโต๊ะเป็นหลัก ระดับผู้จัดการ หรือผู้บริหาร (คือเดินน้อยมาก นั่งเป็นส่วนใหญ่) ควรหาโต๊ะทำงานแบบที่มีลู่เดินนะครับ อันนี้มีจริงครับ ไม่ใช่เรื่องตลก ในต่างประเทศนิยมใช้กันมาก เพราะช่วยให้คุณ ทำงานไปได้ด้วย และเดินไปได้ด้วย พร้อมๆ กัน
4. เปลี่ยนจากการทาน ข้าวขาว มาเป็น ข้าวกล้อง และเปลี่ยนจากการทานขนมปังขาว มาเป็นขนมปังโฮวีทแทน ซึ่งจากการวิจัย พบว่า ข้าวกล้อง และขนมปังโฮลวีท มีกากใยอาหาร หรือไฟเบอร์ ในปริมาณที่สูง และช่วยเสริมประสิทธิภาพ การลดไขมัน ในร่างกายของคุณลงได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญวิตามิน และไฟเบอร์ที่ได้ จะทำหน้าที่ละลายไขมันที่สะสมเอาไว้ ในร่างกายของคุณให้ออกมาใช้ได้เป็นอย่างดี ประโยชน์ล้นเหลือครับ สำหรับบางคนอาจจะรู้สึกว่าแข็ง และไม่อร่อย แต่มันดีจริงๆ นะครับ ฝืนใจทานหน่อยดีกว่าครับ
5. ดื่มน้ำให้มากๆ อันนี้ฟังดู จะเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดแล้วว่างั้น ง่ายกว่าวิธี การลดไขมันหน้าท้อง อื่นๆ ที่ผ่านมา แค่ดื่มน้ำ ก็ช่วยลดไขมันได้แล้ว จากการศึกษาพบว่า การดื่มน้ำอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน จะช่วยส่งเสริมให้ ระบบการเผาผลาญพลังงาน ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น นอกจากนี้ การดื่มน้ำมากๆ ยังช่วยให้ร่างกาย ขับของเสียและส่งเสริมสุขภาพร่างกายของคุณได้อีกด้วย
- ควรดื่มน้ำอย่างน้อย วันละ 8 แก้วใหญ่ๆ ( แก้วขนาด 8 ออนซ์ )
4. เปลี่ยนจากการทาน ข้าวขาว มาเป็น ข้าวกล้อง และเปลี่ยนจากการทานขนมปังขาว มาเป็นขนมปังโฮวีทแทน ซึ่งจากการวิจัย พบว่า ข้าวกล้อง และขนมปังโฮลวีท มีกากใยอาหาร หรือไฟเบอร์ ในปริมาณที่สูง และช่วยเสริมประสิทธิภาพ การลดไขมัน ในร่างกายของคุณลงได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญวิตามิน และไฟเบอร์ที่ได้ จะทำหน้าที่ละลายไขมันที่สะสมเอาไว้ ในร่างกายของคุณให้ออกมาใช้ได้เป็นอย่างดี ประโยชน์ล้นเหลือครับ สำหรับบางคนอาจจะรู้สึกว่าแข็ง และไม่อร่อย แต่มันดีจริงๆ นะครับ ฝืนใจทานหน่อยดีกว่าครับ
5. ดื่มน้ำให้มากๆ อันนี้ฟังดู จะเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดแล้วว่างั้น ง่ายกว่าวิธี การลดไขมันหน้าท้อง อื่นๆ ที่ผ่านมา แค่ดื่มน้ำ ก็ช่วยลดไขมันได้แล้ว จากการศึกษาพบว่า การดื่มน้ำอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน จะช่วยส่งเสริมให้ ระบบการเผาผลาญพลังงาน ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น นอกจากนี้ การดื่มน้ำมากๆ ยังช่วยให้ร่างกาย ขับของเสียและส่งเสริมสุขภาพร่างกายของคุณได้อีกด้วย
- ควรดื่มน้ำอย่างน้อย วันละ 8 แก้วใหญ่ๆ ( แก้วขนาด 8 ออนซ์ )
- ควรพกขวดน้ำติดตัว ไปไหนมาไหนด้วยเสมอ เพื่อคุณจะสามารถดื่มน้ำได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกกระหาย
- ควรจะต้องรู้ว่า เมื่อไหร่ที่แปลว่า คุณได้ดื่มน้ำได้เพียงพอแล้ว สังเกตง่ายๆ หากปัสสาวะของคุณ ใส ไม่มีสี ถือว่าคุณดื่มน้ำได้ในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว ดื่มต่อไปตามนั้น แต่ถ้าคุณยังปัสสาวะออกมาเป็นสีเหลือง แสดงว่าร่างกายคุณยังขาดน้ำ ดื่มเพิ่มปริมาณเข้าไปให้มากขึ้นครับ
- งดการดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ หรือ น้ำอัดลม น้ำหวานต่างๆ รวมทั้งพวก น้ำอัดลม ที่เขียนว่า Diet 0% พวกนั้นด้วย